แผนผังเเสดงตำเเหน่งต้นไม้บริเวณตึกคุณหญิงหรั่งฯ
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559
จามจุรี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Samanea
saman (Jacq.) Merr.
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE
ชื่อสามัญ Rain
Tree, East Indian Walnut
ชื่อพื้นเมือง ก้ามกราม
ก้ามกุ้ง ก้ามปู จามจุรี (ภาคกลาง), กิมบี๊ (กระบี่), ฉำฉา
สารสา สำสา ลัง (ภาคเหนือ), ตุ๊ดตู่ (ตาก)
ลักษณะทั่วไป
ไม้ต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งต่ำ
เรือนยอดแผ่กว้างโค้งตรงกลางและลาดลงหาขอบคล้ายรูปร่ม ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น
เรียงสลับ ใบประกอบแยกแขนงตรงข้ามกัน 2-5 คู่ บนแขนงมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน 2-10
คู่ คู่ที่อยู่ตอนบนมีขนาดใหญ่สุดและลดหลั่นลงไปจนถึงคู่ล่างที่มีขนาดเล็กสุด
ใบย่อยรูปไข่ รูปรี หรือคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น
ออกตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง 1-2 ช่อ ดอกมีจำนวนมาก เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก สีชมพู
ฝักรูปขอบขนาน ตรงหรือโค้งเล็กน้อย ผิวเรียบ ฝักแก่สีน้ำตาลดำ คอดเล็กน้อยเป็นตอนๆ
ระหว่างเมล็ด เมล็ดเรียงเป็นแถวตามความยาวของฝัก สีน้ำตาล รูปแบนรี
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในเขตร้อนทั่วโลก
ปลูกไว้สำหรับให้ร่มเงาได้ดี ทางภาคเหนือปลูกกันมากเพื่อใช้เลี้ยงครั่ง
ฝักแก่มีรสหวานวัวควายชอบกิน เนื้อไม้ใช้แกะสลักได้
อื่นๆ เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประดู่บ้าน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pterocarpus
indicus Willd.
ชื่อวงศ์ ถั่ว
(FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว
FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)
ชื่อสามัญ Burma
Padauk, Narra, Angsana Norra, Malay Padauk[2], Burmese Rosewood, Andaman
Redwood, Amboyna Wood[3], Indian rosewood
ชื่อท้องถิ่น
ดู่บ้าน (ภาคเหนือ), ประดู่บ้าน ประดู่ลาย ประดู่กิ่งอ่อน อังสนา
(ภาคกลาง), สะโน (มาเลย์-นราธิวาส), ดู่,
ประดู่ป่า, ประดู่ไทย เป็นต้น
ผลประดู่ ผลเป็นผลแห้งแบบ samaroid ลักษณะของผลเป็นรูปกลมหรือรีแบน
ที่ขอบมีปีกบางคล้ายกับใบโดยรอบคล้าย ๆ จานบิน แผ่นปีกบิดและเป็นคลื่นเล็กน้อย
นูนตรงกลางลาดไปยังปีก ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-7 เซนติเมตร
ส่วนบริเวณปีกยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ที่ผิวมีขนละเอียด
ตรงกลางนูนป่องเป็นที่อยู่ของเมล็ด โดยภายในจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด
เมล็ดมีความนูนประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวแกมเหลือง
เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผิวสัมผัสขรุขระเมื่อผลแก่
ส่วนเมล็ดมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดถั่วแดง ผิวเรียบสีน้ำตาล ยาวประมาณ 0.5-1
เซนติเมตร
ลั่นทมขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria
obtusa L.
ชื่อวงศ์ APOCYNACEAE
ชื่อสามัญ Evergreen
Frangipani, Graveyard Flower, Pagoda Tree, Temple Tree, West Indian Jasmine
ชื่อพื้นเมือง ลั่นทม
ลักษณะทั่วไป
ไม้พุ่ม สูง 3-6 ม. ลำต้นและกิ่งก้านอวบน้ำ มีผิวขรุขระเกิดจากรอยที่ใบร่วง
สีน้ำตาลปนเทา แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว
ใบ
ใบเรียงสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบเดี่ยว ใบรูปไข่กลับแกมขอบขนาน กว้าง 5-8 ซม. ยาว
20-32 ซม. โคนใบแหลม ปลายใบมนหรือเว้าบุ๋ม ขอบใบเรียบ เส้นใบหนานูนมองเห็นชัดเจน
ท้องใบสีเขียวอ่อนมีขน หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอก ดอกช่อสีขาว กลางดอกสีเหลือง ออกตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อย 8-16
ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ภายในมีขน ปลายดอกแยกเป็น 5 กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน
กลีบดอกรูปไข่กลับปลายมน ปลายกลีบโค้งลงไปทางด้านโคนดอก
เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 ซม. ดอกมีกลิ่นหอม
ผล ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาวประมาณ15 ซม.
เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดแบนมีปีก

ดอกแก้ว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Murraya
paniculata
วงศ์ RUTACEAE
ชื่อสามัญ Orange
jasmine, Andaman satinwood, Chinese box tree
ชื่อพื้นเมือง แก้วพริก, กะมูนิง
(มลายู-ปัตตานี), แก้วขี้ไก่ (ยะลา), ตะไหลแก้ว
(ภาคเหนือ), แก้วลาย
(สระบุรี), แก้วขาว (ภาคกลาง), จ๊าพริก
(ลำปาง)
ลักษณะทั่วไป
ต้นแก้ว
เป็นไม้ประเภทไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร
เป็นต้นไม้ประเภทไม่ผลัดใบ ใบของต้นเป็นใบแบบประะกอบแบนคล้ายขนนกปลายคี่
เรียงสลับกัน ก้านใบไม่มีปีก ใบย่อยมี 3-9 ใบ เรียงสลับกันเป็นรูปไข่กลับ
หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีความยาวประมาณ 2.5-7 เซนติเมตร ปลายใบแหลม
โคนใบแหลมเบี้ยว ผิวของใบมันเข้มทั้งสองด้าน
ดอกแก้ว เป็นดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก
ลักษณะของช่อดอกแบบช่อกระจะ โดยดอกจะออกมาตามซอกใบหรือปลายกิ่่ง กลีบดอกมี 5 กลีบ
และมีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก ปลายมน กลีบดอกมีรูปร่างขอบขนานแกมรูปไข่กลับ
มีความยาวของกลีบประมาณ 1.2 เซนติเมตร กลีบดอกเรียงซ้อนเหลื่อมกัน
ฐานรองของดอกเป็นรูปวงแหวน มีเกสรตัวผู้และตัวเมีย โดยเกสรตัวผู้จะมี 10 อัน
แต่ละอันยาวไม่เท่ากัน ความยาวโดยประมาณอยู่ที่กึ่งหนึ่งของกลีบดอก
มีรังไข่ติดเหนือวงกลีบ สำหรับเกสรตัวเมียจะมีความหนาและยาวประมาณ 0.7 เซนติเมตร
ยอดเกสรเป็นรูปโล่ห์
ผลแก้ว เป็นผลแบบมีเนื้อหลายเมล็ด
ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมรี หรือรูปไข่ ยาวประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร
เปลือกมีต่อมน้ำมันเห็นได้ชัด ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีส้มแดง
เมล็ดของผลเป็นรูปไข่ปลายสอบ มีขนสั้นๆ อยู่รอบเมล็ มีสีขาวขุ่น ใน 1
ผลจะมีเมล็ดอยู่ 1-2 เมล็ด

บานบุรีสีม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Saritaea manifica
Duyand
ชื่อวงศ์ Flacourtiaceae
ชื่อสามัญ Purple Bignonia
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้เถารอเลื้อย
ลำต้นมีขนาดเล็กแข็งและเหนียว ทุกส่วนของเถาหรือลำต้นจะมียางสีขาว
เถาของบานบุรีสีม่วงเลื้อยไปได้ไม่ไกลอย่างบานบุรีเหลือง
บานบุรีม่วงจะเลื้อยไปได้ไกลประมาณ 10 ฟุต เท่านั้น
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นกลุ่ม ๆ
ละ 3-4 ใบ รูปใบรีหรือรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลมก้านใบสั้น
ขอบใบเรียบเกลี้ยงเนื้อใบอ่อน
และจะปกคลุมไปด้วยขนแจ็งที่ละเอียด เมื่อจับดูแล้วจะรู้สึกระคายมือ
ใบกว้างประมาณ 2.5
เซนติเมตรและยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
ดอก ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ
ตามซอกใบและปลายกิ่งหรือตามข้อต้น ช่อละ 5-6 ดอก มีรูปทรงกรวยปลายดอก
บานออกเป็น 5 กลีบ
กลีบภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อันดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ประโยชน์ จะนำเอายางสีขาวที่อยู่ในต้น
มาทำเป็นกาวและยาเบื่อหนู เบื่อปลา

หมากแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cyrtostachys renda Blume
ชื่อวงศ์ Arecaceae
ชื่อสามัญ Sealing wax palm, lipstick
palm, Raja palm, Maharajah Palm
ลักษณะทั่วไป
หมากแดง เป็นปาล์มกอ ขนาดลำต้นประมาณ 2
-2.5 นิ้ว สูงได้ถึงประมาณ 4 เมตร ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ดินมีอินทรีย์วัตถุมากๆ
เช่นป่าพรุในภาคใต้ ในธรรมชาติพบได้แถวป่าพรุโต๊ะเด็งในจังหวัดนราธิวาส
แต่ปัจจุบันหายากมาก แต่จะหาได้ตามร้านขายไม้ประดับ
เพราะปัจจุบันนียมขยายพันธุ์เป็นไม้ประดับ สำหรับจัดสวนทั่วไป
ลักษณะเด่นคือกาบที่หุ้มใบเป็นสีส้มเข้มจนถึงสีแดง
ใบเป็นรูปก้างปลาสีเขียวเข้ม ลักษณะผลเป็นทะลาย ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียว
เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล เมื่อสุกเต็มที่พร้อมที่จะเพาะพันธุ์ได้จะมีเปลือกสีดำ
ขยายพันธุ์ได้ทั้งวิธีการแยกหน่อและเพาะเมล็ด

โมก
ชื่อวิทยาศาสตร์ Wrightia
religiosa (Teijsm. & Binn.) Benth.
ชื่อวงศ์ APOCYNACEAE
ชื่อพื้นเมือง หลักป่า (ระยอง), โมกซ้อน
โมกลา โมกบ้าน (ภาคกลาง), โมก โมกบ้าน โมกดอกหอม โมกกอ (ไทย),
ปิดจงวา (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น
ลักษณะของโมกบ้าน
ต้นโมกบ้าน มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย
จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร
เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกต้นเรียบเกลี้ยงเป็นสีน้ำตาลเข้ม และมีขุดเล็ก ๆ
สีขาวประอยู่ทั่วไป แตกกิ่งต่ำใกล้ผิวดินเป็นลำต้นจำนวนมาก
ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง และตอนกิ่ง
เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดี มีความชื้นปานกลาง
ชอบแสงแดดแบบเต็มวันถึงรำไร เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ทนต่อความร้อนและแสงแดดได้ดี
มักพบขึ้นตามป่าละเมาะที่ชื้น และตามป่าดงดิบ

ปาล์มขวด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Roystonea regia (HBK.)Cook.
ชื่อวงศ์ PALMAE
ชื่อสามัญ Royal
plam, Cuban Royal plam
ลักษณะทั่วไป
ตอนที่ยังเล็กอยู่ จะป่อง พองออกบริเวณโคนต้น
แต่พอโตขึ้น อาการป่องพองนี้จะไปเกิดที่กลางลำต้น เมื่อโตเต็มที่ ลำต้นสูงประมาณ
50-70 ฟุต
ออกช่อสีขาวนวลใต้คอ ช่อใหญ่แผ่กระจายยาว
ติดผลจำนวนมาก
กิ่งก้าน - ใบยาว 6-10 ฟุต ทางใบสั้น
ใบย่อยจะงอกจากแกนกลาง ใบเป็น 4 แถวมีกาบใบสีเขียวเรียบเป็นมัน
ห่อลำต้นไว้แลดูงดงามตายิ่งนัก
จึงเห็นพวงใหญ่ ออกช่อดอกสีขาวนวลใต้คอ
ช่อใหญ่แผ่กระจายยาว ติดผลจำนวนมาก
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับตามขอบถนน
หรือปลูกในสนามก็ได้

ปาล์มพัด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Prichardia
Pacifica Seem. & H.A. Wendl.
ชื่อวงศ์ PALMAE
ชื่อสามัญ Fiji
fan palm
ชื่อพื้นเมือง ปาล์มมงกุฎ
ลักษณะทั่วไป
เป็นปาล์มที่มีลำต้นเดี่ยว สูงประมาณ 30 ฟุต ลำต้นจะตั้งตรง เกลี้ยงเรียว ใบเป็นรูปพัดมีสีเขียวอ่อน และเป็นมัน
ใต้ใบเป็นสีเงินนิด ๆ ขนาดของใบ กว้างประมาณ 5 ฟุต ทางใบยาว 3 ฟุต ออกดอกเป็นช่อ
ๆ ดอกสีเหลืองอมน้ำตาล
ช่อหนึ่งจะมีดอกเป็นจำนวนมาก
แต่เป็นดอกที่ไม่สมบูรณ์เพศ
ผลจะกลม มีขนาดเล็ก ประมาณ
1 เซนติเมตร ในเวลาที่ผลสุกจะมีสีดำ
ข้างในผลจะมีเมล็ด

ปีบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Millingtonia
hortensis L.f. ชื่อสามัญ Cork Tree, Indian Cork
ชื่อวงศ์ แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ชื่อท้องถิ่น เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี),
กาซะลอง กาสะลอง กาดสะลอง กาสะลองคำ (ภาคเหนือ), ปีบ
ก้องกลางดง (ภาคกลาง) กางของ (ภาคอีสาน) เป็นต้น
ลักษณะทั่วไป
ต้นปีบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
ลำต้นตรง มีความสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก
มีช่องอากาศ รากเกิดเป็นหน่อเจริญเป็นต้นใหม่ได้
โดยขยายพันธุ์ด้วยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากรากรอบ ๆของต้นแม่
นำมาตัดเป็นท่อนสั้น ๆ แล้วนำมาปักชำในกระบะกรวยที่ผสมด้วยขี้เถ้าแกลบก็ได้ ปีบเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของพม่าและไทย
ที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก
และทางภาควันออกเฉียงเหนือ
ดอกปีบ ลักษณะออกดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง
มีความยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร ดอกย่อยจะประกอบไปด้วย กลีบเลี้ยงสีเขียว ดอกมีกลิ่นหอม
มีความกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร
เชื่อมกันเป็นหลอดปากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกล่างค่อนข้างแหลม
มีเกสรตัวผู้จำนวน 4 อัน สองคู่จะยาวไม่เท่ากัน และมีเกสรตัวเมียจำนวน 1 อัน
อยู่เหนือวงกลีบ โดยดอกปีบจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม

โมกมัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Wrightia
pubescens R. Br.
ชื่อวงศ์ Apocynaceae
ชื่อสามัญ : Ivory, Darabela, Karingi,
Lanete.
ชื่อท้องถิ่น มูก
มูกเกื้อ โมก
ลักษณะทั่วไป
ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 15 เมตร กิ่งอ่อนเกลี้ยงหรือมีขนประปราย
มีรูอากาศมาก เปลือกสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน เปลือกด้านในมีน้ำยางขาว ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปรี กว้าง
3-4 ซม. ยาว 8-10 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ
ผิวด้านบนมีขนเฉพาะที่เส้นกลางใบหรือมีขนทั่วไป ด้านล่างมีขนที่เส้นกลางใบ
และเส้นแขนงใบ ถึงมีขนทั่วไป เส้นแขนงใบ ข้างละ 8-12 เส้น ก้านใบ ยาว 3-4 มม.
มีขนสั้นนุ่มประปราย ช่อดอก แบบช่อกระจุกออกที่ปลายกิ่ง ยาว 3-6 ซม.
ดอกสีขาวหรือสีชมพู รูปกรวย ก้านช่อดอกและก้านดอกย่อยมีขนสั้นนุ่มประปรายถึงหนาแน่น
กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่ กว้าง 2-3 มม. ยาว 2.5-5 มม.ปลายมนถึงกลม
มีขนสั้นนุ่มประปรายถึงหนาแน่น กลีบดอก 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เป็นหลอดยาว 4-5
มม. ปลายแยกเป็นแฉกรูปรี รูปรีแกมรูปไข่กลับ หรือรูปไข่กลับ กว้าง 4-6 มม. ยาว
0.8-1.2 ซม. ปลายมน ปลายหลอดกลีบดอกด้านนอก มีขนสั้นนุ่ม
ด้านในเกลี้ยงถึงมีขนละเอียด กระบังรอบที่ติดตรงข้ามกลีบดอกยาว 3.5-5 มม.
ติดแนบเกือบตลอดความยาว ปลายจักซี่ฟัน กระบังรอบที่ติดสลับกับกลีบดอก ยาว 1.5-3
มม. รูปแถบ ปลายแยกเป็น 2 แฉก เกสรเพศผู้ติดบนหลอดกลีบดอก โผล่พ้นปากหลอด
อับเรณูรูปหัวลูกศร มีขนสั้นนุ่มที่ด้านนอก รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ คาร์เพลเชื่อม 2
อัน ผลแบบผลแตกแนวเดียว เป็นฝักคู่เชื่อมติดกัน รูปร่างเกือบตรง ห้อยลง กว้าง
1.2-1.5 ซม. ยาว 6.5-30 ซม. ผิวฝักเกลี้ยง ไม่มีรูอากาศ เมล็ดรูปแถบกว้าง 1.5-2.5
มม. ยาว 1.2-1.5 ซม. มีกระจุกขนที่ปลายด้านหนึ่ง กระจุกขน ยาว 2-4 มม.
พบตามป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 280 เมตร
ออกดอกราวเดือนเมษายนถึงสิงหาคม ติดผลราวเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม

ข่อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Streblus
asper Lour.
ชื่อวงศ์ ขนุน
(MORACEAE)
ชื่อสามัญ Siamese
rough bush, Tooth brush tree
ชื่อท้องถิ่น ตองขะแหน่
(กาญจนบุรี), ส้มพอ (เลย ร้อยเอ็ด), ซะโยเส่
(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), กักไม้ฝอย (ภาคเหนือ), สะนาย
(เขมร), สมนาย เป็นต้น
ลักษณะทั่วไป
ต้นข่อย มีถิ่นกำเนิดแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และในประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 5-15 เมตร
ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้างคดงอ มีปุ่มปนอยู่รอบ ๆต้นหรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไป
ซึ่งอาจจะขึ้นเป็นต้นเดียวหรือเป็นกลุ่ม เปลือกต้นมีสีเทาอ่อน เปลือกต้นบางขรุขระเล็กน้อยแตกเป็นแผ่นบาง
ๆ และมียางสีขาวข้นเหนียวซึมออกมา แตกกิ่งก้านมีสาขามาก แตกกิ่งต่ำเป็นพุ่มทึบ
และนิยมขยายพันธุ์ด้วยการใช้รากปักชำ
เพราะจะเจริญเติบโตได้เร็วกว่าการใช้กิ่งปักชำหรือการเพาะเมล็ด

ตะลิงปลิง
ชื่อสามัญ Bilimbi,
Bilimbing, Cucumber Tree, Tree Sorrel
ชื่อวิทยาศาสตร์ Averrhoa
bilimbi L. ชื่อวงศ์ กระทืบยอด (OXALIDACEAE)
ชื่อท้องถิ่น
มูงมัง (เกาะสมุย), กะลิงปริง ลิงปลิง ลิงปลิง ปลีมิง (ระนอง),
บลีมิง (นราธิวาส), มะเฟืองตรน, หลิงปลิง(ใต้)
ลักษณะของตะลิงปลิง
ต้นตะลิงปลิง มีถิ่นกำเนิดในแถบชายฝั่งทะเลของบราซิล
เป็นไม้ผลที่นิยมปลูกทั่วไปเพราะลำต้นมีพวงแน่นที่สวยงาม
และยังเป็นพืชร่วมวงศ์กับมะเฟือง แต่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนตรงขนาดของผล
โดยผลมะเฟืองจะมีขนาดใหญ่กว่าผลตะลิงปลิง
โดยต้นตะลิงปลิงนั้นจัดเป็นพืชในเขตร้อนและเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 5-15
เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีชมพู ผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ตามกิ่ง
ลักษณะของใบตะลิงปลิง เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบสีเขียวอ่อนมีขยยุ่มปกคลุม
ใบคล้ายรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน ในหนึ่งก้านจะมีใบย่อยประมาณ 11-37 ใบ
ขนาดใบกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2-5 เซนติเมตร ส่วนลักษณะของดอกตะลิงปลิง
จะออกดอกเป็นช่อหลายช่อ ตามกิ่งและลำต้น โดยในแต่ละช่อจะมีความยาวไม่เกิน 6 นิ้ว
ลักษณะดอกมีกลีบ 5 กลีบ ดอกสีแดงเข้ม มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบสีเขียวอมชมพู
มีเกสรกลางดอกสีขาว
สรรพคุณของตะลิงปลิง
-ตะลิงปลิงช่วยทำให้เจริญอาหาร (ผล)
-ช่วยแก้พิษร้อนใน แก้กระหายน้ำ (ราก)
-ผลใช้ผสมกับพริกไทย
นำมารับประทานจะช่วยขับเหงื่อได้ (ผล)
-ตะลิงปลิง สรรพคุณช่วยฟอกโลหิต (ผล)
-ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ผล)
-ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้ใบพอกรักษาคางทูม
(ใบ,ราก)
-สมุนไพรตะลิงปลิง มีสรรพคุณเป็นยาลดไข้
(ผล)
-ช่วยดับพิษร้อนของไข้ (ราก)
-ดอกตะลิงปลิง
นำมาชงเป็นชาดื่มช่วยแก้อาการไอ (ดอก,ผล)
-ช่วยละลายเสมหะ แก้เสมหะเหนียวข้น (ผล)

ตีนเป็ดฝรั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Crescentia
alata HBK.
ชื่อวงศ์ Bignoniaceae
ชื่อสามัญ Cruz,
Gourd tree, Mexican calabash, Morra, Tecomate
ชื่อพื้นเมือง -
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) ไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ เรือนยอดทรงแผ่ โปร่ง แตกกิ่งก้านแผ่กว้างสวยงาม
เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม

ชมพูพันธุ์ทิพย์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tabebuia
rosea (Bertol.) DC.
ชื่อสามัญ Pink
Tecoma
วงศ์ BIGNONIACEAE
ชื่อท้องถิ่น
ชมพูพันธุ์ทิพย์ ชมพูอินเดีย ธรรมบูชา (กรุงเทพ ฯ)ตาเบบูย่า
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง
สูงราว ๘-๑๒ เมตร ใบเป็นแบบผสม
มีใบย่อย ๕ ใบบนต้นเดียวกัน
แผ่ออกคล้ายใบปาล์ม
ผิวไม่เรียบ ปลายใบแหลม ยาวประมาณ ๑๒ เซนติเมตร กิ่งก้านสาขาแผ่ออกเป็นพุ่มค่อนข้างแน่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ ใบแก่และทิ้งใบในฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
หลังจากนั้นจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้าน ช่อละ ๕-๘ ดอก
ดอกย่อยลักษณะคล้ายดอกผักบุ้งหรือปากแตร
คือโคนดอกเป็นหลอดยาวปลายดอกบานออกเป็น ๕ กลีบ กลีบดอกบาง ย่นเป็นจีบๆ และร่วงหล่นง่าย
จะเห็นดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นกระจายอยู่รอบๆ ต้น งดงามพอๆ กับที่บานอยู่บนต้น ดอกย่อยแต่ละดอกกว้างราว ๘ เซนติเมตร ยาวราว ๑๕ เซนติเมตร
สีของกลีบดอกปกติเป็นสีชมพูสดใส
แต่มีความเข้มและจางแตกต่างกันไป
โดยเฉพาะต้นที่เกิดจากเมล็ดจะมีความผันแปรมากมาย
ตั้งแต่สีชมพูจางเกือบขาวไปจนถึงสีเข้มเกือบเป็นสีม่วงแดง
เมื่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นแล้ว
จะติดฝักรูปร่างคล้ายมวนบุหรี่
ยาวราว ๑๕ เซนติเมตร เมื่อฝักแก่ราวเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม จะแตกออกด้านเดียวตามยาว แล้วเมล็ดที่มีปีกก็ปลิวไปตามลมได้ไกลๆ
ต้นกำเนิดของชมพูพันธุ์ทิพย์ อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ ต่อมาได้ถูกนำไปปลูกในเขตร้อนทวีปต่างๆ
อย่างแพร่หลายรวมทั้งประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยมีบันทึกเป็นหลักฐานว่า เป็นผู้นำเข้ามาในประเทศครั้งแรกคือ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร
จึงตั้งชื่อตามสีดอก และเป็นเกียรติแก่ผู้นำเข้าว่า ชมพูพันธุ์ทิพย์ ชื่อเดิมคือ ตาเบบูย่า มีชื่ออื่นๆ คือ แตรชมพู
ธรรมบูชา ชื่อในภาษาอังกฤษคือ Pink
Trumpet Tree ตามลักษณ์ของดอกนั่นเอง
ประโยชน์
ใบต้มแก้เจ็บท้องหรือท้องเสียตำให้ละเอียดใส่แผล
ลำต้น ใช้ทำฟืน และเยื่อใช้ทำกระดาษได้

อินทนิลน้ำ
ชื่อสามัญ Queen’s
Flower, Queen’s crape myrtle, Pride of India, Jarul
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagerstroemia
speciosa (L.) Pers. จัดอยู่ในวงศ์ LYTHRACEAE (เป็นคนละชนิดกับต้นอินทนิลบก
ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lagerstroemia macrocarpa Wall.)
สมุนไพรอินทนิลน้ำ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า
ตะแบกดำ (กรุงทพ), ฉ่วงมู ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), บางอบะซา
(นราธิวาส, มลายู-ยะลา), บาเย
บาเอ (มลายู-ปัตตานี), อินทนิล (ภาคกลาง, ภาคใต้)
เป็นต้น และยังเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดระนองและจังหวัดสกลนครอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นอินทนิลน้ำ
เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย โดยจัดไม้เป็นยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
เจริญเติบโตเร็วหากปลูกในที่เหมาะสม ต้นมีความสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเล็กและมักคดงอ
แต่พอใหญ่ขึ้นจะเปลาตรง เป็นไม้ผลัดใบ แต่ผลิใบใหม่ไว โคนต้นไม้ไม่ค่อยพบพูพอน
มักมีกิ่งใหญ่แตกจากลำต้นสูงเหนือจากพื้นดินขึ้นมาไม่มาก จึงมีเรือนยอดที่แผ่กว้าง
เป็นพุ่มคล้ายลักษณะรูปร่มและคลุมส่วนโคนต้นเล็กน้อยเท่านั้น
(ถ้าเป็นต้นที่ขึ้นตามธรรมชาติในป่า มักจะมีเรือนยอดคลุมลำต้นประมาณ 9/10
ส่วนของความสูงของต้น) ส่วนผิวเปลือกต้นอินทนิลน้ำจะมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน
มักจะมีรอยด่าง ๆ เป็นดวงขาว ๆ อยู่ทั่วไป
ผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบไม่แตกเป็นร่องหรือเป็นรอยแผลเป็น เปลือกมีความหนาประมาณ
1 เซนติเมตร ที่เปลือกในจะออกสีม่วง นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
มักพบขึ้นตามที่ราบลุ่มที่ชื้นแฉะทั่วไป รวมไปถึงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำลำห้วย
หรือในป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดงดิบของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ แต่จะพบได้มากสุดตามป่าดงดิบในทางภาคใต้
และยังพบในป่าพรุหรือป่าบึงในของภาคใต้อีกด้วย
นอกจากนี้ต้นอินทนิลน้ำยังเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดระนองและจังหวัดสกลนครอีกด้วย
เนื้อไม้อินทนิลน้ำ
เมื่อยังใหม่สดอยู่จะเป็นสีแดงเรื้อ ๆ หรือสีชมพูอ่อน
พอนานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมแดง เนื้อไม้ค่อนข้างละเอียดมีเสี้ยนตรง
เป็นมันเลื่อม มีความแข็งแรงปานกลาง เหนียวและทนทาน ใช้เลื่อยไสกบตบแต่งง่าย
ขัดเงาได้เป็นเงางาม

ไทรย้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus
benjamina L.
ชื่อวงศ์ ขนุน
(MORACEAE)
ชื่อสามัญ Golden
Fig, Weeping Fig, Weeping or Java Fig, Weeping Chinese Bonyan, Benjamin Tree,
Benjamin’s fig, Ficus tree
ชื่อท้องถิ่น ไทรพัน
(ลำปาง), ไทร (นครศรีธรรมราช), ไทรกระเบื้อง
(ประจวบคีรีขันธ์), ไฮ (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ไทรย้อยใบแหลม
(กรุงเทพฯ), จาเรย (เขมร), ไซรย้อยเป็นต้น
ลักษณะทั่วไป
ต้นไทรย้อย มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย อินเดีย
และภูมิภาคมาเลเซีย จัดเป็นไม้ยืนต้นหรือพุ่มไม่ผลัดใบขนาดกลาง
ที่มีความสูงได้ประมาณ 5-15 เมตร
ลำต้นแตกเป็นพุ่มหนาทึบและแผ่กิ่งก้านสาขาทิ้งใบห้อยย้อยลง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล
กิ่งก้านห้อยย้อยลง มีลำต้นที่สูงใหญ่ ตามลำต้นจะมีราอากาศแตกย้อยลงสู่พื้นดินเป็นจำนวนมากดูสวยงาม
รากอากาศเป็นรากขนาดเล็ก เป็นเส้นสีน้ำตาล
ลักษณะรากกลมยาวเหมือนเส้นลวดย้อยลงมาจากต้น
รากอากาศที่มีขนาดใหญ่จะมีเนื้อไม้ด้วย มีรสจืดและฝาด
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีการปักชำ
เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจ้า ชอบดินร่วนซุย
ต้องการน้ำและความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง
ไทรย้อยมีเขตการกระจายพันธุ์กว้างในประเทศเขตร้อน พบได้ที่อินเดีย เนปาล ปากีสถาน
จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย
ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักขึ้นกระจายในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น
และป่าดิบเขา และบางครั้งอาจพบได้ตามเขาหินปูน จนถึงระดับความสูงประมาณ 1,300
เมตร
ข้อควรทราบ :
ต้นไทรย้อยใบแหลมเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร

มะม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera
indica L.
ชื่อวงศ์ มะม่วง
(ANACARDIACEAE)
ชื่อสามัญ Mango
ชื่อท้องถิ่น ทั่วไป เรียก มะม่วงบ้าน, มะม่วงสวน
กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก ขุ ,โคก จันทบุรี เรียก เจาะ ช๊อก ช้อก
นครราชสีมา เรียก โตร้ก มลายู-ภาคใต้
เรียก เปา ละว้า-เชียงใหม่ เรียก แป กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน เรียก สะเคาะ, ส่าเคาะส่า
เขมร เรียก สะวาย เงี้ยว-ภาคเหนือ เรียก หมักโม่ง
จีน เรียก มั่งก้วย
มะม่วงจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย
และถือว่าเป็นผลไม้ประจำชาติของประเทศอินเดีย
ในบ้านเรานั้นมะม่วงจัดเป็นผลไม้เศรษฐกิจซึ่งส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 ของโลก
สำหรับพันธุ์มะม่วงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์มาก
โดยสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดเห็นจะเป็น พันธุ์เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ อกร่อง
ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เป็นต้น
ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรสชาติและลักษณะแตกต่างกันออกไป
ประโยชน์ มะม่วงที่เราเห็นเป็นประจำก็คงจะไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก
หรือมีการไปทำเป็นอาหารว่างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว
มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง พายมะม่วง และนำไปใช้ประกอบอาหาร
เช่น ใส่น้ำพริก ยำ ส้มตำ ส่วนยอดอ่อนหรือผลอ่อนก็สามารถนำมาประกอบอาหารแทนผักได้ด้วย
เป็นต้น
สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงนั้นจะมีแคลอรี่สูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาลไขมันจากกะทิเป็นหลัก
ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีสุขภาพดีการรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่าจะมีปัญหากับสุขภาพ
แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ น้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเสียทีเดียว
แต่การรับประทานก็ควรรับประทานอย่างระวัง
และพิจารณารับประทานให้พอดีกับสุขภาพก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด

มะละกอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica
papaya L.
ชื่อวงศ์ มะละกอ
(CARICACEAE)
ชื่อสามัญ Papaya
ชื่อท้องถิ่น มะก๊วยเต็ด
ลอกอ แตงต้น หมักหุ้ง
ลักษณะทั่วไป
มะละกอเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีต้นกำเนิดจากอเมริกากลาง
เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทาน มากในบ้านเรา ด้วยการรับประทานสด ๆ หรือนำมาประกอบอาหาร
เช่น ส้มตำ แกงส้ม หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้
มะละกอนั้นจัดว่าเป็นไม้ล้มลุก (หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่า เป็นไม้ยืนต้น)
ประโยชน์ของมะละกอนั้นก็มีค่อนข้างมาก
มีสรรพคุณเป็นทั้งยารักษาโรค โดยสรรพคุณมะละกอก็เช่น ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ
ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เป็นต้น
และยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ
วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส
ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)